วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"ละคร และ ลิเก มหรสพที่ถือเป็นพระราชนิยมอย่างหนึ่ง ได้เล่นถวาย รัชกาลที่ ๕ เมื่อคราวเฉลิมพระที่นั่งวิมานเมฆ"


เล่น facebook แล้วคุณณัฐดนัย จันทร์เสมานนท์ ได้โพสต์ไว้..เห็นมีประโยชน์มาก จึงคิดว่าจะเป็นการดีถ้าเอามาเก็บไว้ใน Blog ด้วย



"ละคร และ ลิเก มหรสพที่ถือเป็นพระราชนิยมอย่างหนึ่ง ได้เล่นถวาย รัชกาลที่ ๕ เมื่อคราวเฉลิมพระที่นั่งวิมานเมฆ"
***************
พอดีค้นคว้าเกี่ยวกับวังสวนกุหลาบ ดันมาเจอข้อมูลดีๆ เข้า เลยเอามาแบ่งปันกันให้ทราบถึงความเป็นมาของ "สวนดุสิต-พระที่นั่
งวิมานเมฆ-และ ความสำคัญของ "ลิเก" ซึ่งในราชกิจจานุเบกษาฉบับนี้ แสดงให้เห็นว่า "ละคร และลิเก" ในสมัยนั้น เป็นพระราชนิยมอย่างหนึ่งของพระบรมวงศานุวงศ์ ไม่เหมือนกับในปัจจุบัน ที่คนไทยมักเหยียด หรือกระอักกระอ่วนใจเมื่อพูดถึงลิเก

*******************
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริที่จะสร้างสถานที่สำหรับประพาส และประทับแรม เพื่อเป็นที่สำราญพระราชหฤทัย เจริญพระราชอิริยาบถ และเพื่อให้สถานที่นี้เป็นที่อันงดงาม เป็นเกียรติเป็นศรีแก่พระนคร อีกสาเหตุหนึ่งที่ทรงมีพระราชดำริเช่นนี้ คือ ในฤดูร้อน สภาพอากาศในพระบรมมหาราชวังร้อนอบอ้าว อากาศไม่ถ่ายเท เพราะมีตึก และตำหนักต่างๆ บดบังอยู่รอบด้าน ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดที่จะพระราชดำเนินโดยพระบาทในระยะทางที่พอจะเอื้อให้ทรงออกพระกำลังได้บ้าง เพราะหากประทับอยู่บนพระที่นั่งโดยมิได้เสด็จไปไหนเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้ทรงอ่อนพระกำลัง ไม่เป็นผลดีต่อพระพลานามัย จนต้องเสด็จประพาสหัวเมืองเพื่อให้ทรงสำราญพระราชอิริยาบทเนื่องๆ จึงมีพระราชดำริจะให้มีที่ประทับร้อนในพระนครที่จะเสด็จไปได้ตามพระราชประสงค์ทุกเมื่อ ในรัตนโกสินทรศก ๑๑๗ จึงโปรดให้ซื้อสวนและท้องทุ่งนา ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างคลองผดุงกรุงเกษม จนถึงคลองสามเสนด้านตะวันออกจดทางรถไฟ ด้วยเงินพระคลังข้างที่ซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และโปรดเกล้า ฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาท สร้าง และตกแต่งพื้นที่ในบริเวณถนนสามเสน สนองพระราชดำริดังกล่าว
ตั้งแต่ ร.ศ. ๑๑๗ (พ.ศ. ๒๔๔๑) เป็นต้นมา ณ พื้นที่แห่งนั้นก็ค่อยๆ ก่อร่างสร้างเป็นพลับพลาประทับแรม ถนน สะพาน คลอง สนามหญ้า สวนผลไม้ และสวนดอกไม้อย่างงดงาม ทรงพระกรุณา โปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามสถานที่นั้นว่า สวนดุสิตแต่ไม่ทรงโปรดที่จะให้ประชาชนทั่วไปขนานนามที่ประทับนี้ว่า พระราชวังเพราะที่ประทับนี้มิได้สร้างขึ้นด้วยพระราชทรัพย์สำหรับใช้จ่ายในการแผ่นดิน พระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะสร้างสวนดุสิตนี้ไว้ เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับสร้างพระตำหนัก และวังพระราชทานแก่พระราชโอรส และพระราชธิดา จึงโปรดให้เรียกที่ประทับนี้ตามความเหมาะสมว่า วังสวนดุสิต
เมื่อทรงพระกรุณา โปรดเกล้า ฯ ให้เริ่มสร้างพระตำหนัก และพระที่นั่งต่างๆ ในสวนดุสิต พระราชทานแก่พระราชโอรส และพระราชธิดาดังที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้แล้ว จึงโปรดให้รื้อ พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ที่เคยโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นที่เกาะสีชัง มาสร้างขึ้นใหม่ในสวนดุสิต พระราชทานนามพระที่นั่งนี้ว่า พระที่นั่งวิมานเมฆพร้อมกันนี้ พระองค์ยังทรงพระกรุณา โปรดเกล้า ฯ พระราชทานที่ดินทางด้านตะวันตกใกล้กับสวนสุนันทา ริมถนนใบพร (ถนนอู่ทองใน) โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระตำหนักชั่วคราวพระราชทานแก่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมขุนนครราชสีมา ได้รับพระราชทานนามแต่แรกเริ่มว่า สวนกุหลาบ
ครั้นวันที่ ๒๖ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๐ (พ.ศ. ๒๔๔๔) จึงโปรดเกล้า ฯ ให้มีการขึ้น พระตำหนักชั่วคราวที่พระราชทานแก่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมขุนนครราชสีมา อันพระราชทานนามไว้แต่แรกว่า พระตำหนักสวนกุหลาบการขึ้นพระตำหนักสวนกุหลาบ ทรงโปรดให้เลื่อนพระฤกษ์ให้เร็วกว่ากำหนดเดิม เพื่อจะได้ไม่ตรงกับพระฤกษ์เฉลิมพระที่นั่งวิมานเมฆ ที่จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ภายหลังการขึ้นพระตำหนักสวนกุหลาบในวันรุ่งขึ้น
เมื่อเสร็จการขึ้นพระตำหนักสวนกุหลาบ (ชั่วคราว) แล้ว ในวันที่ ๒๗ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้า ฯ ให้มีการเฉลิมพระที่นั่งวิมานเมฆตามพระฤกษ์ มีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรสถวายศีล และนำสวดพระพุทธมนต์ จนเวลายาม กับ ๓๐ นาที เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร ลคร ซึ่ง เลื่อนภรรยาหลวงฤทธิ์นายเวร (พุฒ)จัดมาฉลองพระเดชพระคุณในงานเฉลิมพระที่นั่งซึ่งเล่นในปรำชาลาพระที่นั่ง ครั้นเวลา ๗ ทุ่ม ๓๖ วินาที เป็นพระฤกษ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นเฉลิมพระที่นั่งวิมานเมฆสรงมุรธาภิเศกในที่ แล้วเสด็จขึ้นพระแท่นเป็นพระฤกษ์ เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์พิณพาทย์ฆ้องชัย ในเวลาพระฤกษ์สรงมุรธาภิเศก และเสด็จขึ้นพระแท่น พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในถวายชัยมงคล
รุ่งขึ้นวันที่ ๒๘ มีนาคม มีพิธีพระราชทานฉันแก่พระสงฆ์ และพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์แก่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการ ครั้นพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก แล้วเสด็จพระราชดำเนินนำพระสงฆ์ (ซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับที่นิมนต์มาเจริญพระพุทธมนต์เมื่อวันก่อน) เที่ยวชมพระที่นั่งข้างในทั่วไป ครั้นเวลา ๒ ทุ่ม ๔๕ นาที เสด็จพระราชดำเนินประทับโต๊ะเสวย และเสด็จพระราชดำเนินไปประทับทอดพระเนตร ลครอย่างวันก่อนจนเวลา ๗ ทุ่มเศษ เสด็จขึ้น
วันที่ ๒๙ มีนาคม เวลาย่ำค่ำ ๕๕ นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกประทับ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งวิมานเมฆ สดับพระพุทธมนต์เหมือนวันก่อน เวลา ๔ ทุ่มเศษ เสด็จพระราชดำเนินไปประทับทอดพระเนตร ลครดังวันก่อนวันนี้พระราชทานรางวัลแก่ เลื่อนภรรยาหลวงฤทธิ์นายเวร (พุฒ) ในการที่จัดลครมาเล่นฉลองพระเดชพระคุณ เวลา ๗ ทุ่มเศษ เสด็จขึ้น
วันที่ ๓๐ มีนาคม เป็นวันจรดพระกรรบิดกรรไกรแก่หม่อมราชวงศ์ อันเป็นโอรส และธิดาของพระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนฤบาลมุขมาตย์ คือ ม.ร.ว.หญิงประพันธ์พงษ์ ๑ และหม่อมราชวงศ์ในพระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ คือ ม.ร.ว.โป้ย และ ม.ร.ว.โป๊ะ ๒ หม่อมราชวงศ์ในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลังการ คือ ม.ร.ว.ณัฏฐสฤษดิ์ ๑ หม่อมราชวงศ์ในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านิลวรรณ์ คือ ม.ร.ว.หญิงเป้า ๑ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแล้วทรงเจิมหม่อมราชวงศ์ทั้ง ๕ และพระราชทานเงินทำขวัญตามสมควร จนเวลายามเศษ เสด็จพระราชดำเนินไปประทับทอดพระเนตร ลิเกรพระยาเพชรปาณีซึ่งมีฉลองพระเดชพระคุณ ในการเฉลิมพระที่นั่งพอสมควรแก่เวลา และพระราชทานรางวัลแก่พระยาเพ็ชรปาณีด้วย เวลา ๒ ยามเศษ เสวยเครื่องว่างแล้วเสด็จขึ้น เป็นเสร็จการเฉลิมพระที่นั่งวิมานเมฆเท่านี้
***********************************************************************************
เรียบเรียงข้อมูลโดย ณัฐดนัย จันทร์เสมานนท์
***********************************************************************************
อ้างอิง :
- การเฉลิมพระที่นั่งวิมานเมฆ ,ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ ๑๙, วันที่ ๑๓ เมษายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ (พ.ศ.๒๔๔๕) ,หน้า ๒๕-๒๘
- แจ้งความเรื่องสวนดุสิต ,ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ ๑๕ , วันที่ ๗ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๗ (พ.ศ.๒๔๔๑) ,หน้า ๕๔๓


เพ้อเจ้อถึงละครพันทาง

จดหมายรักถึงคุณพันทาง


ฉันรักคุณนะค๊ะ คุณพันทาง แม้ว่าคุณจะเฉยเมยกับชั้น ไม่แยแสต่อน้ำคำของชั้น ไม่ส่งเสียงเพรียกกระตุ้นต่อมอีโรติกของชั้น แต่ชั้นก็รักในความเป็นคุณนะค๊ะ...ความหลายหลาก ความสับสน ความงุนงง ความผสมผสาน และความเป็นตัวตนของคุณทั้งหมดมันทำให้ชั้นอยากทะลวงล้วงเข้าไปในขั่วหัวใจคุณให้ได้สักที รักชั้นบ้างนะค๊ะ หันมามองชั้นบ้าง....ไม่ต้องวันนี้ก้ได้คะ (แต่อย่านานนะ) เพราะไม่ว่ายังไงชั้นก็จะยังรักคุณตลอดไป ถึงแม้ว่าชั้นจะยังไม่สามารถเข้าใจคุณได้ทั้งหมด แต่เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะค๊ะ เราจะขึ้นฝั่งไปพร้อม ๆ กันคะ ชั้นเชื่อว่าวันหนึ่งชั้นจะเข้าใจคุณได้มากกว่านี้ และคุณจะรักชั้นอย่างที่ชั้นรักคุณคะ คุณพันทาง"

รักเสมอและตลอดไปคะ
มุตาล

ประสบการณ์การสอน Southeast Asian Performance Class ที่อังกฤษ


ความยากในการสอนเด็กที่อังกฤษ ไม่ใช่เรื่องของความรู้ในตัวเราที่จะให้แก่เด็ก แต่เป็นเรื่องของวิธีการต่างหาก..มันเหมือนกับการขึ้นชกมวยบนสังเวียนวิชาการที่เราในฐานะครูต้องเป็นทั้งผู้ชกและเป็นกรรมการในเวลาเดียวกัน ความท้าทายเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการสอนเด็กกลุ่มนี้ เพราะตลอดเวลาที่คุณอยู่บนสังเวียน คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคู่ต่อสู้ของคุณจะปล่อยหมัดไหนเข้าใส่คุณ ในขณะเดียวกันตัวคุณเองก็ต้องวางเกมส์รุกและรับที่เเนบเนียน เพื่อท้าทายคู่ต่อสู้ของคุณ และพร้อมรับหมัดของเค้าเช่นเดียวกัน...

คำถามหลายต่อหลายคำถามจากเด็ก ๆ กลุ่มนี้ มันเหมือนกับหมัดฮุกซ้าย ฮุกขวา ต่อด้วยหมัดเสยปลายคาง ทำเอาชั้นในฐานะครูเกือบเซ ได้เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นเพราะสวนหมัดกลับไปไม่ได้ หรือไม่ทัน เเต่เพราะทึ่ง..ในคำถามเหล่านั้นมากกว่า และไม่คิดว่าเด็ก ๆ ที่ไม่เคยมีพื้นฐานเรื่องที่ชั้นสอนมาเลยจะคิดและมองไปได้ลึกขนาดนั้น อย่างเช่นคำถามที่ว่า เราสอนและสร้างความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณในงานนาฏศิลป์ที่ส่งผ่านไปสู่ความเป็นอัตลักษณ์ไทยอย่างไร เราจินตนาการถึงความจริงกับสิ่งสมมุติจากการแปลงกายบนเวทีของตัวละครไทยอย่างไร อะไรเป็นตัวบอกว่านี่คือจริง นี่คือสิ่งสมมุติ รวมทั้งคำถามที่ว่า ภาพที่ไม่มีปรากฏบนเวทีแต่ปรากฏในจินตนาการความคิดของผู้ชมได้อย่างไร เป็นต้น

คำตอบหลายคำตอบพรั่งพรูออกจากปากฉันไป ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดแต่ทุกคำตอบล้วนมีเหตุและผลที่สามารถอธิบายได้ และสามารถนำไปสู่ความน่าจะเป็นของคำตอบ ณ เวลานั้น ได้มากที่สุด บางคำตอบนั้นก็โยงใยไปถึงเรื่องของการสอน Art  Appreciation ทางด้านนาฏศิลป์ไทยกันเลยทีเดียว ฉันก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่ฉันตอบจะถูกต้องไปทั้งหมด เพราะฉันไม่ใช่เจ้าทฤษฏี ความรู้ที่มีก็ยังน้อยนิดนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันยืนยันได้นั่นก็คือ ฉันได้เรียนรู้และคิดไปพร้อมกับเด็กนักเรียนเหล่านั้น พวกเขาช่วยให้ฉันเห็นและมองนาฏศิลป์ไทยในอีกมุมหนึ่ง อย่างที่ฉันยังต้องอึ้ง และทึ่งไปกับวิธีการคิด การมองและการถามในแบบของพวกเขา


การอธิบายงานนาฏศิลป์ไทยในเชิงที่เป็น Theatrical Theory ยังคงขาดแคลนและน้อยนิดเหลือเกินในมุมมองฉัน หลังจากที่ได้เผชิญกับคำถามเหล่านั้น เราในฐานะคนนาฏศิลป์มองเห็น เรียนรู้ งานนาฏศิลป์จากการจำ จด มาโดยปราศจากคำอธิบายมานานแค่ไหน มีงานเขียนที่เป็นการอธิบายในเชิง Theatrical Theory ของงานนาฏศิลป์ไทยที่ดีมีคุณภาพไม่มากนัก หนึ่งในนั้นก็คือ ตำนานละครอิเหนา ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ถึงแม้ว่าจะเป็นการพรรณาความและบันทึกความทรงจำที่เป็นประวัติศาสตร์ค่อนข้างมาก หากแต่แอบแฝงไว้ซึ่งแนวคิดในเชิงทฤษฎีทางด้านนาฏศิลป์ตั้งแต่สมัยอดีตไว้เช่นกัน หรือแม้กระทั่งงานของ ศ.ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ หนังสือหลาย ๆ เล่มของท่านเติมเต็มในส่วนของทฤษฏีความรู้ทางด้านนาฏศิลป์ไทยและขยายมุมมองใหม่ ๆ ให้กับนักวิชาการนาฏศิลป์และดนตรีไทยเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนที่ข้อมูลผิดพลาด คลาดเคลื่อน ไปบ้างก็ตาม

ชั้นไม่ใช่คนบ้าเห่อหรือคลั่งฝรั่งอย่างไร้เหตุผล..ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่การชื่นชมระบบการเรียนการสอนของฝรั่ง หรือชื่นชมความเก่งกาจ ความฉลาดล้ำเลิศ และความกล้าหาญของเด็กเหล่านี้อย่างงมงายไร้สติ หากแต่สิ่งที่มันทำให้ชั้นต้องย้อนกลับมาคิด ทบทวนต่อ แล้วตั้งคำถาม คือ เกิดอะไรขึ้นกับเด็กไทย ทำไมเราไม่ค่อยมีโอกาสเห็นภาพของการโต้เถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิง ด้วยหลักการเหตุผล ข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ความรู้ ของเด็กไทยอย่างที่ควรจะเป็น การสร้างองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการวิพากษ์มากกว่าการสั่งสอนแบบท่องจำในตำรามันอยู่ตรงไหนของระบบการเรียนการสอนไทย หรือร่ำเรียนด้วยการจดและจำมันล้าหลังเกินไปหรือกระตุ้นพลังการเรียนรู้และการต่อยอดทางความคิดของเด็กไทยได้ดีพอหรือยัง...

มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่คนนาฏศิลป์ไทยแท้ ๆ จะต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติอะไรบางอย่างทั้งกับตนเองและวงการของตน นั่นเป็นคำถามที่เกิดขึ้นกับชั้นอีกครั้งเมื่อชั้นเขียนมาถึงตรงนี้.... การเชื่อครู เดินตามแบบผู้อาวุโส โดยขาดการไตร่ตรองหาเหตุและผล การเลือกทางประนีประนอม แล้วหลบอยู่ในมุมมืดที่ดูเหมือนว่าน่าจะปลอดภัยของผู้ที่คิดต่าง มากกว่าการก้าวออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่างและวิพากษ์สิ่งที่ไม่น่าจะถูกต้อง ไม่จริง หรือไม่ควรจะเป็นในวงการ ยังจะเป็นทางออกสำหรับการรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีงามทางด้านนาฏศิลป์ไทยอย่างนั้นหรือ...การต่อยอดทางความคิด การคิดต่าง และการยอมรับในความต่างที่ไม่แตกแยก มันจะเป็นไปได้ไหมบนเส้นทางนี้..การทำลายกำแพงของความอาวุสโส ไปสู่ความเท่าเทียมกันทางความคิดและปัญญา น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าหรือไม่สำหรับนาฏศิลป์กับสังคมไทยในปัจจุบัน...

ชั้นได้เขียน Post นี้ในแบบย่อ ไว้บน หน้า Wall Facebook  ของฉัน....มีเพื่อนมากมายเข้ามากดไลท์ บางคนก็ให้ Comments มี Comment หนึ่งที่น่าสนใจจากพี่ปัท..ครูใหญ่แผนกไทย ของบางกอกพัฒนา เธอเขียนไว้ว่า...
น่ายินดีที่แม้พื้นภูมิความรู้เกี่ยวกับนาฎศิลป์ไทยของเด็กต่างชาติจะจำกัด แต่เด็กมีกระบวนการคิดที่ดีและถูกฝึกให้สังเกตและตั้งคำถาม ไม่ใช่แค่ฟังรอรับข้อมูล พี่ไม่มั่นใจว่าเด็กไทยของเราเองจะมองเห็นประเด็นที่เด็กฝรั่งคิดที่ตาลยกตัวอย่างมา เราอาจไม่ฝึกให้เด็กเกิดความสงสัยมากพอ เลยไม่ถาม มันเป็นคุณลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องให้เด็กได้ reflect กับสิ่งที่เรียน ตั้งคำถามและเชื่อมโยงความคิด ความรู้เข้ากับประสบการณ์ของตน ซึ่งจะทำให้เค้านำความรู้ไปสังเคราะห์ต่อยอดได้
ฉันเห็นด้วยกับความคิดเห็นของพี่ปัท โดยเฉพาะในส่วนที่กล่าวว่า เราอาจไม่ฝึกให้เด็กเกิความสงสัยมากพอ เลยไม่ถาม เมื่อไม่ถามก็สะท้อนความคิดไม่ได้ ต่อยอดความรู้ไม่ได้...หากมองในมุมนี้จะเห็นว่า ครูเป็นต้นเหตุสำคัญและเป็นเหมือนปราการด่านแรกที่จะช่วยให้เด็กแสดงความเป็นตัวตน และต่อยอดความคิดได้ ดังนั้น ไม่แน่ว่าหน้าที่ของครูในด้านนาฏศิลป์ไทยในวันนี้ จึงไม่ควรจบหรือหยุดอยู่แค่การสอน เพื่อให้เด็กจำตาม อย่างไร้สติ อีกต่อไปแล้ว หากแต่ต้องกระตุ้นสติและปัญญา ให้คิด ให้ถาม ชี้นำทางเด็กไปสู่การขยายองค์ความรู้ที่กว้างขึ้นด้วยตนเอง โดยมีครูคอยส่งเสริม สนับสนุนอย่างห่าง ๆ  ในขณะเดียวกันครูก็ต้องเรียนรู้ เปิดใจที่จะยอมรับความใหม่ที่แตกต่างโดยไม่มีตำแหน่ง และอายุมาเป็นเครื่องกีดขวางความคิดเช่นกัน

มันก็เหมือนกับเกมมวยที่ชั้นเปรียบไว้ตั้งแต่ต้นบทความ เกมมวยนี้ผลมันไม่ได้อยู่ที่เเพ้ชนะ ผลมันอยู่ที่ชั้นและนักเรียนของชั้นต่างถูกกระตุ้นให้คิด วิเคราะห์ วิพากษ์ สังเคราะห์และมองในมุมที่ต่างออกไปจากความรู้ที่ชั้นป้อนให้เค้า หรือจากบทความ และการฝึกปฏิบัติที่ชั้นมอบหมายให้เค้าอ่านและทำ รวมทั้งการอภิปรายและแสดงความคิดเห็นอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ด้วยเหตุและผล ด้วยความน่าจะเป็น และปราศจากอคติ มันเหมือนเป็นเกมมวยที่ทั้งคู่ต่างเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน มากกว่าการพยายามที่จะหาผลสรุปว่าใครชนะ หรือใครแพ้..

วันอังคารที่จะถึงนี้...น่าจะเป็นคลาสที่เมามันอีกวันหนึ่งของชั้น เพราะฉันจะต้องทำหน้าที่เป็นกรรมการวิพากษ์ วิจารณ์เด็ก ๆ เหล่านั้น จากงานที่เค้าไปทำมา เป็น Experimental dance piece จากพื้นฐานท่ารำไทย ....มาคอยดูกันว่ามันจะมันส์หยดติ๋งขนาดไหน....

ป.ล. กราบคุณครูเทพและครูมนุษย์ และผู้ให้โอกาสทุกองค์ทุกท่านทุกคน  ที่ดลบันดาล นำพาให้ฉันได้เดินมาบนทางสายนี้  ให้ฉันได้รู้สึกถึงความงดงามของการฟ้อนรำที่มันลึกเกินกว่าแค่การสัมผัสจากผัสสะของชั้น ให้ฉันได้เล่าสู่ ส่งต่อ ในสิ่งที่ฉันเป็น ฉันคิด ฉันเรียนรู้ จากความงดงามเหล่านั้น ไปสู่คนอื่น ๆ แม้อาจจะไม่มากที่สุดแต่ก็มากเท่าที่กำลังและความสามารถของฉันจะทำได้...กราบขอบพระคุณจริง ๆ คะ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

Khomsorn Thanathammetee

I am really sad to hear that Arjarn Khomsorn Thanathammetee or Kru Hall has passed away in this morning with the infection of lung. Kru Hall was a brilliant Thai dance teacher and perfromer of Performing Arts Department, Faculty of Fine and Applied Arts, Rajabahat Suansunandha University Bangkok, Thailand. He was my friend and collegue, who can share a intellectual advices with me. We had many great times to discuss about Thai dance and also perform traditional Thai dance together. His visions and works inspired me most about the development of Thai dance disciplines and also reminded me about What a good teacher should be. Last week,we had discussed and I did interview him about an upcoming dance project namely "an experimental Lakhon Phanthang", which will be held in the end of Febuary.

As a way of remembering him,I attached his photo and

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Hybridity in Dance by Prof. Dr. Anis

I just listened a talk by Professor Dr. Mohd Anis Mohd Nor, a Professor of Ethnomusicology and Ethnochoreology at the University of Malaya's Cultural Centre. He discusses the concept of hybridity in dance, citing examples found in dances commonly practiced in Malaysia. His talk highlights the events happening at the Asia Pacific International Dance Conference 2011, held in conjunction with the My Dance Festival 2011, which has chosen the theme "Hybridity in Dance: Researching, Performing and Writing Old and New Genres."
 
For one thing that I have learned from his talk 

"Dance is so crucial in the understanding of what the society is or what the people are"

His work focuses on a kind of Malay traditional dance , which was brought to Malay from middle east since 15th century. This performance is a good hybrid form, which is rejected over since 15th century onward. This tradition came with the Arab traders or the Arab community in Southeast Asia. This Arab is not Arabsia but means the Yemen republic. The diaspora of the Arab traders from Yemen as known to be a major factor in the superior of commercialisation trade and it so convinces the many money, very rich people continued their tradition within the community of the Arab. However, Arabs has been regarded in a common society as be of higher level be respected as people coming from the holy land. The association with the personality society intelligent becomes higher and bigger, in fact it regarded as a special for us in the making of tradition.

The local indigenous populace normally would look at tradition as been exemplar from of district tradition. Now, local indigenous community doesn't really borrow. They are not really copy 100%. In fact, they invented the process of assimilation, more the less syncretic in the way because they added the Arabic style with to existing Malay style and develop their own form, which is quite different from the form what it existed before. That I need to say the local indigenous and influence of foreign tradition came in to Malay and Southeast Asia and give us the new product of life and exist new genres with the multi of repertoire.

"Traditional in Southeast Asia is really hybrid because of the trade round from east and west as is Malaysia today. We had gone global long long time ago that probably brought us Malaysia, Southeast Asian  to the front of the global issue far far  better than perhaps people are realising the global local issue. It is not just the Arabic, we had Portuguse, Dutch, English and we are also had American influences after the second world war. So that there are many tradition, plus music, dance existance into the theatre, which had come from trought this patry of the world, through the process of assimilation and sycretisation. Finally, the arts are form in hybridity and syncretisation."

(Continue)

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

The International Ramayana Festival in Thailand (part 1)

On the December, there was a month of celebration of Thai people in the occasion of our beloved king's birthday anniversary. At The National Theatre (Bangkok),  there was such a great event 'The International Ramayana Festival in celebration of H.M. the King's 7th cycle birthday anniversary", which was taken place during 5-9 December 2011. Regarding to this event, the artists, the national dance troupes from 8 Asean countries consisted of India, Myanmar, Philippines, Indonesia, Singapore, Lao, Cambodia and Thailand were invited to partake in this grand celebration by performing Ramayana with their own traditional style and joint production and performance. Additionally, this event was a free event but the booking ticket in advance was required.

I had a great opportunity attended this events two days on the 7th  and 9th December respectively. On my first day, the performance began with the performance of Singapore. They presented Ramayana in episode "The incarnation of Vishnu" performed by Bhaskar's Arts Academy LTD, Republic of Singapore. Interestingly, Singapore represented their Ramayana story through Bharatanattayam and Kathakali styles. Dancers and musicians almost were Indian, who were Singapore nationality. This scene took time almost an hour, however, all dancers and musicians were very professional. Their energy and the passionate of dance can be passed to me and audiences in the hall. However, with the long peroformance and the  language, the audiences perhaps get bored and lost of attention.

The next performance was from Republic of Indonesia by Sekar Budaya Nusantara Troupe, which I think this was the highlight of the day for me. They presented in the scene of The final battle and Sita's ordeal (พระรามรบทศกัณฐ์และสีดาลุยไฟ) with the Javanese dance style. In this performance, they showed me that What the professional performers should be. Performers of this performance were high potential, they can play gamelan, they can dance, they can sing and they can acting. All these attributions encouraged a such great production with the flow of performance, which can be communicate and gave art apprecitation to the audience. In addition, I quite admired this performance in part of the concept that they had presented in this show. To looking at this performance, the audiences were not only learnt about the dance style but also Wayang (Shadow puppet) as well. They combined dance movements and the Wayang technique presenting in their show. I got new knowledge from this production as well, such as the distinction between Thai dance custom and Indonesia dance.

The last performance for today was from the Kingdom of Cambodia with the scene Ream Leak and Chup Leak (I think this was a Cambodian language) (กำเนิดพระลพพระมงกุฎ) by The dance troupe of the Department of Performing Arts of the Ministry of Culture and Fine Arts. I appreciated the two girls , who impersonated Phra Lop and Phra Mongkut the most. They were very beautiful and their dance movemets were very finely and gorgeous. It showed  that they needed to practice with the strict disciipline and taking time in dancing.

It was very nice to see the Ramayana in various traditional styles from many Asian countries, and the event had a very celebratory feel to it.


วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

84th anniversary of my beloved king's birthday..

Yesterday, I went to Sanam Luang in Bangkok,a place for celebrating the 84th anniversary of my beloved king's birthday. In this year (5 Dec 2011), it had many activities such as performance on the main stage, exhibition of king's and royal projects and the warship of Buddha's relic from the Kingdom of Putan. All these activities were provided by Thai government, Thai official departments, the Bureau of the Royal Household cooperated with numerous private organisations in both Thai and foreign countries. Surrounding Sanam Luang had Otop boots from many provicn in Thailand. They brough their local products to show and trade in this event as well.