วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประสบการณ์การสอน Southeast Asian Performance Class ที่อังกฤษ


ความยากในการสอนเด็กที่อังกฤษ ไม่ใช่เรื่องของความรู้ในตัวเราที่จะให้แก่เด็ก แต่เป็นเรื่องของวิธีการต่างหาก..มันเหมือนกับการขึ้นชกมวยบนสังเวียนวิชาการที่เราในฐานะครูต้องเป็นทั้งผู้ชกและเป็นกรรมการในเวลาเดียวกัน ความท้าทายเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการสอนเด็กกลุ่มนี้ เพราะตลอดเวลาที่คุณอยู่บนสังเวียน คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคู่ต่อสู้ของคุณจะปล่อยหมัดไหนเข้าใส่คุณ ในขณะเดียวกันตัวคุณเองก็ต้องวางเกมส์รุกและรับที่เเนบเนียน เพื่อท้าทายคู่ต่อสู้ของคุณ และพร้อมรับหมัดของเค้าเช่นเดียวกัน...

คำถามหลายต่อหลายคำถามจากเด็ก ๆ กลุ่มนี้ มันเหมือนกับหมัดฮุกซ้าย ฮุกขวา ต่อด้วยหมัดเสยปลายคาง ทำเอาชั้นในฐานะครูเกือบเซ ได้เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นเพราะสวนหมัดกลับไปไม่ได้ หรือไม่ทัน เเต่เพราะทึ่ง..ในคำถามเหล่านั้นมากกว่า และไม่คิดว่าเด็ก ๆ ที่ไม่เคยมีพื้นฐานเรื่องที่ชั้นสอนมาเลยจะคิดและมองไปได้ลึกขนาดนั้น อย่างเช่นคำถามที่ว่า เราสอนและสร้างความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณในงานนาฏศิลป์ที่ส่งผ่านไปสู่ความเป็นอัตลักษณ์ไทยอย่างไร เราจินตนาการถึงความจริงกับสิ่งสมมุติจากการแปลงกายบนเวทีของตัวละครไทยอย่างไร อะไรเป็นตัวบอกว่านี่คือจริง นี่คือสิ่งสมมุติ รวมทั้งคำถามที่ว่า ภาพที่ไม่มีปรากฏบนเวทีแต่ปรากฏในจินตนาการความคิดของผู้ชมได้อย่างไร เป็นต้น

คำตอบหลายคำตอบพรั่งพรูออกจากปากฉันไป ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดแต่ทุกคำตอบล้วนมีเหตุและผลที่สามารถอธิบายได้ และสามารถนำไปสู่ความน่าจะเป็นของคำตอบ ณ เวลานั้น ได้มากที่สุด บางคำตอบนั้นก็โยงใยไปถึงเรื่องของการสอน Art  Appreciation ทางด้านนาฏศิลป์ไทยกันเลยทีเดียว ฉันก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่ฉันตอบจะถูกต้องไปทั้งหมด เพราะฉันไม่ใช่เจ้าทฤษฏี ความรู้ที่มีก็ยังน้อยนิดนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันยืนยันได้นั่นก็คือ ฉันได้เรียนรู้และคิดไปพร้อมกับเด็กนักเรียนเหล่านั้น พวกเขาช่วยให้ฉันเห็นและมองนาฏศิลป์ไทยในอีกมุมหนึ่ง อย่างที่ฉันยังต้องอึ้ง และทึ่งไปกับวิธีการคิด การมองและการถามในแบบของพวกเขา


การอธิบายงานนาฏศิลป์ไทยในเชิงที่เป็น Theatrical Theory ยังคงขาดแคลนและน้อยนิดเหลือเกินในมุมมองฉัน หลังจากที่ได้เผชิญกับคำถามเหล่านั้น เราในฐานะคนนาฏศิลป์มองเห็น เรียนรู้ งานนาฏศิลป์จากการจำ จด มาโดยปราศจากคำอธิบายมานานแค่ไหน มีงานเขียนที่เป็นการอธิบายในเชิง Theatrical Theory ของงานนาฏศิลป์ไทยที่ดีมีคุณภาพไม่มากนัก หนึ่งในนั้นก็คือ ตำนานละครอิเหนา ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ถึงแม้ว่าจะเป็นการพรรณาความและบันทึกความทรงจำที่เป็นประวัติศาสตร์ค่อนข้างมาก หากแต่แอบแฝงไว้ซึ่งแนวคิดในเชิงทฤษฎีทางด้านนาฏศิลป์ตั้งแต่สมัยอดีตไว้เช่นกัน หรือแม้กระทั่งงานของ ศ.ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ หนังสือหลาย ๆ เล่มของท่านเติมเต็มในส่วนของทฤษฏีความรู้ทางด้านนาฏศิลป์ไทยและขยายมุมมองใหม่ ๆ ให้กับนักวิชาการนาฏศิลป์และดนตรีไทยเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนที่ข้อมูลผิดพลาด คลาดเคลื่อน ไปบ้างก็ตาม

ชั้นไม่ใช่คนบ้าเห่อหรือคลั่งฝรั่งอย่างไร้เหตุผล..ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่การชื่นชมระบบการเรียนการสอนของฝรั่ง หรือชื่นชมความเก่งกาจ ความฉลาดล้ำเลิศ และความกล้าหาญของเด็กเหล่านี้อย่างงมงายไร้สติ หากแต่สิ่งที่มันทำให้ชั้นต้องย้อนกลับมาคิด ทบทวนต่อ แล้วตั้งคำถาม คือ เกิดอะไรขึ้นกับเด็กไทย ทำไมเราไม่ค่อยมีโอกาสเห็นภาพของการโต้เถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิง ด้วยหลักการเหตุผล ข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ความรู้ ของเด็กไทยอย่างที่ควรจะเป็น การสร้างองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการวิพากษ์มากกว่าการสั่งสอนแบบท่องจำในตำรามันอยู่ตรงไหนของระบบการเรียนการสอนไทย หรือร่ำเรียนด้วยการจดและจำมันล้าหลังเกินไปหรือกระตุ้นพลังการเรียนรู้และการต่อยอดทางความคิดของเด็กไทยได้ดีพอหรือยัง...

มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่คนนาฏศิลป์ไทยแท้ ๆ จะต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติอะไรบางอย่างทั้งกับตนเองและวงการของตน นั่นเป็นคำถามที่เกิดขึ้นกับชั้นอีกครั้งเมื่อชั้นเขียนมาถึงตรงนี้.... การเชื่อครู เดินตามแบบผู้อาวุโส โดยขาดการไตร่ตรองหาเหตุและผล การเลือกทางประนีประนอม แล้วหลบอยู่ในมุมมืดที่ดูเหมือนว่าน่าจะปลอดภัยของผู้ที่คิดต่าง มากกว่าการก้าวออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่างและวิพากษ์สิ่งที่ไม่น่าจะถูกต้อง ไม่จริง หรือไม่ควรจะเป็นในวงการ ยังจะเป็นทางออกสำหรับการรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีงามทางด้านนาฏศิลป์ไทยอย่างนั้นหรือ...การต่อยอดทางความคิด การคิดต่าง และการยอมรับในความต่างที่ไม่แตกแยก มันจะเป็นไปได้ไหมบนเส้นทางนี้..การทำลายกำแพงของความอาวุสโส ไปสู่ความเท่าเทียมกันทางความคิดและปัญญา น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าหรือไม่สำหรับนาฏศิลป์กับสังคมไทยในปัจจุบัน...

ชั้นได้เขียน Post นี้ในแบบย่อ ไว้บน หน้า Wall Facebook  ของฉัน....มีเพื่อนมากมายเข้ามากดไลท์ บางคนก็ให้ Comments มี Comment หนึ่งที่น่าสนใจจากพี่ปัท..ครูใหญ่แผนกไทย ของบางกอกพัฒนา เธอเขียนไว้ว่า...
น่ายินดีที่แม้พื้นภูมิความรู้เกี่ยวกับนาฎศิลป์ไทยของเด็กต่างชาติจะจำกัด แต่เด็กมีกระบวนการคิดที่ดีและถูกฝึกให้สังเกตและตั้งคำถาม ไม่ใช่แค่ฟังรอรับข้อมูล พี่ไม่มั่นใจว่าเด็กไทยของเราเองจะมองเห็นประเด็นที่เด็กฝรั่งคิดที่ตาลยกตัวอย่างมา เราอาจไม่ฝึกให้เด็กเกิดความสงสัยมากพอ เลยไม่ถาม มันเป็นคุณลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องให้เด็กได้ reflect กับสิ่งที่เรียน ตั้งคำถามและเชื่อมโยงความคิด ความรู้เข้ากับประสบการณ์ของตน ซึ่งจะทำให้เค้านำความรู้ไปสังเคราะห์ต่อยอดได้
ฉันเห็นด้วยกับความคิดเห็นของพี่ปัท โดยเฉพาะในส่วนที่กล่าวว่า เราอาจไม่ฝึกให้เด็กเกิความสงสัยมากพอ เลยไม่ถาม เมื่อไม่ถามก็สะท้อนความคิดไม่ได้ ต่อยอดความรู้ไม่ได้...หากมองในมุมนี้จะเห็นว่า ครูเป็นต้นเหตุสำคัญและเป็นเหมือนปราการด่านแรกที่จะช่วยให้เด็กแสดงความเป็นตัวตน และต่อยอดความคิดได้ ดังนั้น ไม่แน่ว่าหน้าที่ของครูในด้านนาฏศิลป์ไทยในวันนี้ จึงไม่ควรจบหรือหยุดอยู่แค่การสอน เพื่อให้เด็กจำตาม อย่างไร้สติ อีกต่อไปแล้ว หากแต่ต้องกระตุ้นสติและปัญญา ให้คิด ให้ถาม ชี้นำทางเด็กไปสู่การขยายองค์ความรู้ที่กว้างขึ้นด้วยตนเอง โดยมีครูคอยส่งเสริม สนับสนุนอย่างห่าง ๆ  ในขณะเดียวกันครูก็ต้องเรียนรู้ เปิดใจที่จะยอมรับความใหม่ที่แตกต่างโดยไม่มีตำแหน่ง และอายุมาเป็นเครื่องกีดขวางความคิดเช่นกัน

มันก็เหมือนกับเกมมวยที่ชั้นเปรียบไว้ตั้งแต่ต้นบทความ เกมมวยนี้ผลมันไม่ได้อยู่ที่เเพ้ชนะ ผลมันอยู่ที่ชั้นและนักเรียนของชั้นต่างถูกกระตุ้นให้คิด วิเคราะห์ วิพากษ์ สังเคราะห์และมองในมุมที่ต่างออกไปจากความรู้ที่ชั้นป้อนให้เค้า หรือจากบทความ และการฝึกปฏิบัติที่ชั้นมอบหมายให้เค้าอ่านและทำ รวมทั้งการอภิปรายและแสดงความคิดเห็นอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ด้วยเหตุและผล ด้วยความน่าจะเป็น และปราศจากอคติ มันเหมือนเป็นเกมมวยที่ทั้งคู่ต่างเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน มากกว่าการพยายามที่จะหาผลสรุปว่าใครชนะ หรือใครแพ้..

วันอังคารที่จะถึงนี้...น่าจะเป็นคลาสที่เมามันอีกวันหนึ่งของชั้น เพราะฉันจะต้องทำหน้าที่เป็นกรรมการวิพากษ์ วิจารณ์เด็ก ๆ เหล่านั้น จากงานที่เค้าไปทำมา เป็น Experimental dance piece จากพื้นฐานท่ารำไทย ....มาคอยดูกันว่ามันจะมันส์หยดติ๋งขนาดไหน....

ป.ล. กราบคุณครูเทพและครูมนุษย์ และผู้ให้โอกาสทุกองค์ทุกท่านทุกคน  ที่ดลบันดาล นำพาให้ฉันได้เดินมาบนทางสายนี้  ให้ฉันได้รู้สึกถึงความงดงามของการฟ้อนรำที่มันลึกเกินกว่าแค่การสัมผัสจากผัสสะของชั้น ให้ฉันได้เล่าสู่ ส่งต่อ ในสิ่งที่ฉันเป็น ฉันคิด ฉันเรียนรู้ จากความงดงามเหล่านั้น ไปสู่คนอื่น ๆ แม้อาจจะไม่มากที่สุดแต่ก็มากเท่าที่กำลังและความสามารถของฉันจะทำได้...กราบขอบพระคุณจริง ๆ คะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น