ความยากในการสอนเด็กที่อังกฤษ
ไม่ใช่เรื่องของความรู้ในตัวเราที่จะให้แก่เด็ก
แต่เป็นเรื่องของวิธีการต่างหาก..มันเหมือนกับการขึ้นชกมวยบนสังเวียนวิชาการที่เราในฐานะครูต้องเป็นทั้งผู้ชกและเป็นกรรมการในเวลาเดียวกัน
ความท้าทายเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการสอนเด็กกลุ่มนี้
เพราะตลอดเวลาที่คุณอยู่บนสังเวียน
คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคู่ต่อสู้ของคุณจะปล่อยหมัดไหนเข้าใส่คุณ
ในขณะเดียวกันตัวคุณเองก็ต้องวางเกมส์รุกและรับที่เเนบเนียน เพื่อท้าทายคู่ต่อสู้ของคุณ
และพร้อมรับหมัดของเค้าเช่นเดียวกัน...
คำถามหลายต่อหลายคำถามจากเด็ก ๆ
กลุ่มนี้ มันเหมือนกับหมัดฮุกซ้าย ฮุกขวา ต่อด้วยหมัดเสยปลายคาง ทำเอาชั้นในฐานะครูเกือบเซ
ได้เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นเพราะสวนหมัดกลับไปไม่ได้ หรือไม่ทัน เเต่เพราะทึ่ง..ในคำถามเหล่านั้นมากกว่า
และไม่คิดว่าเด็ก ๆ
ที่ไม่เคยมีพื้นฐานเรื่องที่ชั้นสอนมาเลยจะคิดและมองไปได้ลึกขนาดนั้น อย่างเช่นคำถามที่ว่า
เราสอนและสร้างความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณในงานนาฏศิลป์ที่ส่งผ่านไปสู่ความเป็นอัตลักษณ์ไทยอย่างไร
เราจินตนาการถึงความจริงกับสิ่งสมมุติจากการแปลงกายบนเวทีของตัวละครไทยอย่างไร
อะไรเป็นตัวบอกว่านี่คือจริง นี่คือสิ่งสมมุติ รวมทั้งคำถามที่ว่า
ภาพที่ไม่มีปรากฏบนเวทีแต่ปรากฏในจินตนาการความคิดของผู้ชมได้อย่างไร เป็นต้น
คำตอบหลายคำตอบพรั่งพรูออกจากปากฉันไป
ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดแต่ทุกคำตอบล้วนมีเหตุและผลที่สามารถอธิบายได้ และสามารถนำไปสู่ความน่าจะเป็นของคำตอบ
ณ เวลานั้น ได้มากที่สุด บางคำตอบนั้นก็โยงใยไปถึงเรื่องของการสอน Art Appreciation ทางด้านนาฏศิลป์ไทยกันเลยทีเดียว ฉันก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่ฉันตอบจะถูกต้องไปทั้งหมด
เพราะฉันไม่ใช่เจ้าทฤษฏี ความรู้ที่มีก็ยังน้อยนิดนัก
แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันยืนยันได้นั่นก็คือ ฉันได้เรียนรู้และคิดไปพร้อมกับเด็กนักเรียนเหล่านั้น
พวกเขาช่วยให้ฉันเห็นและมองนาฏศิลป์ไทยในอีกมุมหนึ่ง อย่างที่ฉันยังต้องอึ้ง
และทึ่งไปกับวิธีการคิด การมองและการถามในแบบของพวกเขา
การอธิบายงานนาฏศิลป์ไทยในเชิงที่เป็น Theatrical Theory ยังคงขาดแคลนและน้อยนิดเหลือเกินในมุมมองฉัน หลังจากที่ได้เผชิญกับคำถามเหล่านั้น เราในฐานะคนนาฏศิลป์มองเห็น เรียนรู้ งานนาฏศิลป์จากการจำ จด มาโดยปราศจากคำอธิบายมานานแค่ไหน มีงานเขียนที่เป็นการอธิบายในเชิง Theatrical Theory ของงานนาฏศิลป์ไทยที่ดีมีคุณภาพไม่มากนัก หนึ่งในนั้นก็คือ ตำนานละครอิเหนา ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ถึงแม้ว่าจะเป็นการพรรณาความและบันทึกความทรงจำที่เป็นประวัติศาสตร์ค่อนข้างมาก หากแต่แอบแฝงไว้ซึ่งแนวคิดในเชิงทฤษฎีทางด้านนาฏศิลป์ตั้งแต่สมัยอดีตไว้เช่นกัน หรือแม้กระทั่งงานของ ศ.ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ หนังสือหลาย ๆ เล่มของท่านเติมเต็มในส่วนของทฤษฏีความรู้ทางด้านนาฏศิลป์ไทยและขยายมุมมองใหม่ ๆ ให้กับนักวิชาการนาฏศิลป์และดนตรีไทยเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนที่ข้อมูลผิดพลาด คลาดเคลื่อน ไปบ้างก็ตาม
ชั้นไม่ใช่คนบ้าเห่อหรือคลั่งฝรั่งอย่างไร้เหตุผล..ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่การชื่นชมระบบการเรียนการสอนของฝรั่ง
หรือชื่นชมความเก่งกาจ ความฉลาดล้ำเลิศ
และความกล้าหาญของเด็กเหล่านี้อย่างงมงายไร้สติ
หากแต่สิ่งที่มันทำให้ชั้นต้องย้อนกลับมาคิด ทบทวนต่อ แล้วตั้งคำถาม คือ เกิดอะไรขึ้นกับเด็กไทย
ทำไมเราไม่ค่อยมีโอกาสเห็นภาพของการโต้เถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิง
ด้วยหลักการเหตุผล ข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ความรู้
ของเด็กไทยอย่างที่ควรจะเป็น
การสร้างองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการวิพากษ์มากกว่าการสั่งสอนแบบท่องจำในตำรามันอยู่ตรงไหนของระบบการเรียนการสอนไทย
หรือร่ำเรียนด้วยการจดและจำมันล้าหลังเกินไปหรือกระตุ้นพลังการเรียนรู้และการต่อยอดทางความคิดของเด็กไทยได้ดีพอหรือยัง...
มันถึงเวลาแล้วหรือยัง
ที่คนนาฏศิลป์ไทยแท้ ๆ
จะต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติอะไรบางอย่างทั้งกับตนเองและวงการของตน
นั่นเป็นคำถามที่เกิดขึ้นกับชั้นอีกครั้งเมื่อชั้นเขียนมาถึงตรงนี้....
การเชื่อครู เดินตามแบบผู้อาวุโส โดยขาดการไตร่ตรองหาเหตุและผล การเลือกทางประนีประนอม แล้วหลบอยู่ในมุมมืดที่ดูเหมือนว่าน่าจะปลอดภัยของผู้ที่คิดต่าง มากกว่าการก้าวออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่างและวิพากษ์สิ่งที่ไม่น่าจะถูกต้อง
ไม่จริง หรือไม่ควรจะเป็นในวงการ ยังจะเป็นทางออกสำหรับการรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีงามทางด้านนาฏศิลป์ไทยอย่างนั้นหรือ...การต่อยอดทางความคิด
การคิดต่าง และการยอมรับในความต่างที่ไม่แตกแยก มันจะเป็นไปได้ไหมบนเส้นทางนี้..การทำลายกำแพงของความอาวุสโส
ไปสู่ความเท่าเทียมกันทางความคิดและปัญญา น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าหรือไม่สำหรับนาฏศิลป์กับสังคมไทยในปัจจุบัน...
ชั้นได้เขียน Post นี้ในแบบย่อ ไว้บน หน้า Wall Facebook
ของฉัน....มีเพื่อนมากมายเข้ามากดไลท์
บางคนก็ให้ Comments มี Comment หนึ่งที่น่าสนใจจากพี่ปัท..ครูใหญ่แผนกไทย
ของบางกอกพัฒนา เธอเขียนไว้ว่า...
“น่ายินดีที่แม้พื้นภูมิความรู้เกี่ยวกับนาฎศิลป์ไทยของเด็กต่างชาติจะจำกัด
แต่เด็กมีกระบวนการคิดที่ดีและถูกฝึกให้สังเกตและตั้งคำถาม
ไม่ใช่แค่ฟังรอรับข้อมูล
พี่ไม่มั่นใจว่าเด็กไทยของเราเองจะมองเห็นประเด็นที่เด็กฝรั่งคิดที่ตาลยกตัวอย่างมา
เราอาจไม่ฝึกให้เด็กเกิดความสงสัยมากพอ เลยไม่ถาม
มันเป็นคุณลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องให้เด็กได้ reflect กับสิ่งที่เรียน ตั้งคำถามและเชื่อมโยงความคิด
ความรู้เข้ากับประสบการณ์ของตน ซึ่งจะทำให้เค้านำความรู้ไปสังเคราะห์ต่อยอดได้”
ฉันเห็นด้วยกับความคิดเห็นของพี่ปัท
โดยเฉพาะในส่วนที่กล่าวว่า เราอาจไม่ฝึกให้เด็กเกิความสงสัยมากพอ เลยไม่ถาม
เมื่อไม่ถามก็สะท้อนความคิดไม่ได้ ต่อยอดความรู้ไม่ได้...หากมองในมุมนี้จะเห็นว่า
ครูเป็นต้นเหตุสำคัญและเป็นเหมือนปราการด่านแรกที่จะช่วยให้เด็กแสดงความเป็นตัวตน
และต่อยอดความคิดได้ ดังนั้น ไม่แน่ว่าหน้าที่ของครูในด้านนาฏศิลป์ไทยในวันนี้ จึงไม่ควรจบหรือหยุดอยู่แค่การสอน
เพื่อให้เด็กจำตาม อย่างไร้สติ อีกต่อไปแล้ว หากแต่ต้องกระตุ้นสติและปัญญา ให้คิด
ให้ถาม ชี้นำทางเด็กไปสู่การขยายองค์ความรู้ที่กว้างขึ้นด้วยตนเอง โดยมีครูคอยส่งเสริม สนับสนุนอย่างห่าง ๆ ในขณะเดียวกันครูก็ต้องเรียนรู้
เปิดใจที่จะยอมรับความใหม่ที่แตกต่างโดยไม่มีตำแหน่ง
และอายุมาเป็นเครื่องกีดขวางความคิดเช่นกัน
มันก็เหมือนกับเกมมวยที่ชั้นเปรียบไว้ตั้งแต่ต้นบทความ
เกมมวยนี้ผลมันไม่ได้อยู่ที่เเพ้ชนะ
ผลมันอยู่ที่ชั้นและนักเรียนของชั้นต่างถูกกระตุ้นให้คิด วิเคราะห์ วิพากษ์
สังเคราะห์และมองในมุมที่ต่างออกไปจากความรู้ที่ชั้นป้อนให้เค้า หรือจากบทความ
และการฝึกปฏิบัติที่ชั้นมอบหมายให้เค้าอ่านและทำ
รวมทั้งการอภิปรายและแสดงความคิดเห็นอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ด้วยเหตุและผล
ด้วยความน่าจะเป็น และปราศจากอคติ
มันเหมือนเป็นเกมมวยที่ทั้งคู่ต่างเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน
มากกว่าการพยายามที่จะหาผลสรุปว่าใครชนะ หรือใครแพ้..
วันอังคารที่จะถึงนี้...น่าจะเป็นคลาสที่เมามันอีกวันหนึ่งของชั้น
เพราะฉันจะต้องทำหน้าที่เป็นกรรมการวิพากษ์ วิจารณ์เด็ก ๆ เหล่านั้น
จากงานที่เค้าไปทำมา เป็น Experimental dance piece จากพื้นฐานท่ารำไทย ....มาคอยดูกันว่ามันจะมันส์หยดติ๋งขนาดไหน....
ป.ล. กราบคุณครูเทพและครูมนุษย์
และผู้ให้โอกาสทุกองค์ทุกท่านทุกคน ที่ดลบันดาล
นำพาให้ฉันได้เดินมาบนทางสายนี้
ให้ฉันได้รู้สึกถึงความงดงามของการฟ้อนรำที่มันลึกเกินกว่าแค่การสัมผัสจากผัสสะของชั้น
ให้ฉันได้เล่าสู่ ส่งต่อ ในสิ่งที่ฉันเป็น ฉันคิด ฉันเรียนรู้ จากความงดงามเหล่านั้น
ไปสู่คนอื่น ๆ
แม้อาจจะไม่มากที่สุดแต่ก็มากเท่าที่กำลังและความสามารถของฉันจะทำได้...กราบขอบพระคุณจริง
ๆ คะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น